รีวิวสรุป “Super Productive Show” โดยคุณรวิศ หาญอุตสาหะ [ฉบับย่อ]

Krittamate Pramniya
5 min readSep 27, 2019

--

เป็นวันที่ผมเฝ้ารอคอยวันหนึ่งเลยก็ว่าได้กับ “Super Productive Show” ของคุณรวิศ หาญอุตสาหะ เพราะได้มีโอกาสติดตามหนังสือตั้งแต่ Marketing everything! และ Podcast : Mission to the moon มาตลอดและในที่สุดวันนี้ก็มาถึง…

Alexandra Reich — CEO Dtac

โชว์เริ่มขึ้นโดยคุณ Alexandra Recich CEO ของ Dtac คนปัจจุบัน เปิดประเด็นได้น่าสนใจคือ

ให้ลองถามตัวเองว่า “สิ่งที่คุณต้องการจริงๆ คืออะไร?”

ฟังเสียงข้างในของตัวเอง (Inner Voice) ให้มากกว่าเสียงที่คนอื่นพูดถึงตัวเรา (The Other Voice) และความสำเร็จอาจไม่ได้อยู่ที่ปลายทาง แต่มันอาจจะอยู่ระหว่างทางจงสนุกกับมัน

ตบท้ายโดยการพูดถึง Dtac เล็กน้อยในฐานะ CEO ซึ่งสิ่งที่พลักดันเขาในการทำงาน คือ “ความสำเร็จของทีมและความสุขของลูกค้า”

และบอกอีกว่าสิ่งที่ทำให้เราต่างจาก AI คือ “ความคิดสร้างสรรค์” และ “ทักษะทางสังคม” เรามีหัวใจซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของ “ปัญญา”

หลักจากนั้นม่านก็เปิดขึ้น พร้อมกับเวทีที่ตกแต่งด้วยบันไดสลับไปมา คุณรวิศ Rawit Hanutsaha ก็เดินลงมาจากบันไดและทักทายทุกคนทั้งชั้นล่างและชั้นบน

Super Productive Show by Rawit Hanutsaha

วอร์มอัพด้วยคำถาม 5 ข้อว่าใครเคยมีนิสัยที่อยากแก้แบบนี้บ้าง?

  1. กินของที่ไม่ดีต่อสุขภาพ
  2. ไม่ออกกำลังกาย
  3. จัดเวลาไม่ได้
  4. ผัดวันประกันพรุ่ง
  5. คิดอยากทำอะไรใหม่ๆ แต่ไม่ยอมเริ่ม

แน่นอนว่าทุกคำถามมีคนยกมือกันแทบทั้งห้อง! รวมถึงตัวผมเองด้วย และนี่ก็คือนิสัยที่คนส่วนมากอยากแก้ไขมากที่สุดนั้นเอง

หลักจากนั้นพี่แท็ปก็ได้เล่าถึงวีรกรรมในสมัยตอนเรียนวิศวฯ จุฬาฯ บอกว่าตัวเองเป็นคน “ใช้เงินเก่ง” จนบอกแม่ว่าค่าเทอม 30,000 แต่จริงๆแล้วไม่กี่พัน เรียกเสียงฮากันทั่วห้อง

นอกจากนั้นยังบอกว่าตัวเองเคยเป็นคน “เที่ยวเก่ง” เที่ยวเป็นการคลายเครียด เที่ยวทั้งทีลากยาวๆ ไม่ถึงตี 3 ไม่กลับ ปีนป่ายข้าวของเวลาเมา โต๊ะ ลำโพง โดนพี่แกมาหมดแล้ว

แล้ว “จุดเปลี่ยน” ของพี่แท็ปคือตอนไหน? นั้นเป็นสิ่งที่ผมคิดอยู่ในหัว และพี่แท็ปก็พูดต่อพอดี

นี่คือ “กิโลเมตรที่ 0" พี่แท็ปเปรียบทั้งโชว์ในวันนี้เหมือนการวิ่งมาราธอน และนี่คือ ช่วงก่อนที่จะเริ่มวิ่งนั้นเอง

จุดเปลี่ยนของผมคือวันที่ได้การ์ดแต่งงานมาใบหนึ่ง แล้วต้องใส่ชุดให้เข้ากับตีมงานแต่ง ทำให้ต้องไปขุดหาเสื้อสีแพนโทน แต่พอใส่เท่านั้นแหละกระดุมหลุดจ้า! ทำให้พี่แท็ปคิดได้และเริ่มคิดอยากดูแลตัวเองมากขึ้น

เท่านั้นยังไม่พอในช่วงเวลานั้น “พี่เอ๋ นิ้วกลม” ได้ส่งหนังสือเล่มใหม่ที่ยังไม่ตีพิมพ์มาให้พี่แท็ปช่วยเขียนคำนิยมให้ และนั้นคือหนังสือที่เกี่ยวกับการวิ่งมาราธอน ซึ่งตอนนั้นพี่แท็ปก็บอกออกมาเองว่า ไม่อินกับมันเลย ไม่รู้ว่าคนเราจะถ่อสังขารตื่นตีสาม ตีสี่ไปวิ่งเพื่อ!??

แต่อาจจะด้วยความสงสัยใคร่รู้ พี่แท็ปเลยมีความคิดที่จะลองเริ่มวิ่งดูสักครั้งว่ามันจะเป็นยังไง

กิโลเมตรที่ 1 (จุดเริ่มต้น)

แน่นอนว่าก่อนจะเริ่มวิ่งสิ่งที่พี่แท็ปทำนั้นคือ “การซื้ออุปกรณ์ครับ” อุปกรณ์ต้องครบไว้ก่อน ยังคงเรียกเสียงฮาของคนได้อย่างต่อเนื่อง คิดว่าหลายๆคนคงเป็นเหมือนกัน 555

วันแรกที่วิ่งได้เป็นระยะทาง 3 กิโล แต่พี่เขาบอกว่าเหนื่อยมากกกก หน้ามืดเหมือนจะเป็นลมกันเลยทีเดียว แต่ก็นับถือในความกล้าที่จะเริ่มต้นของพี่แกจริงๆ

ผ่านไป 41 วัน เป็นวันที่ 11 เมษายน 2018

พี่แกวิ่งอยู่ที่สวนสาธารณะในประเทศญี่ปุ่น วิ่งได้ถึง 15 กิโลเมตร ซึ่งเยอะที่สุดเท่าที่เคยวิ่งมาในตอนนั้น แต่ฟ้าเหมือนเล่นตลก ส่งตู้กดน้ำและคุณลุงที่ยืนเฝ้าพื้นที่ก่อสร้างมาให้พี่แท็ปเห็นเขา แล้วก็นึงถึงหนังสือของพี่เอ๋ นิ้วกลม ที่บอกว่า

“ถ้าผ่านมาราธอนแรกได้ ชีวิตของคุณจะเปลี่ยนไป”

เท่านั้นแหละครับ อย่างน้อยก็มีคุณลุงและเครื่องกดน้ำอยู่ไม่น่าจะตาย พี่แท็ปเลยลุยวิ่งต่อจนครบ 42.2 กิโลได้! ถือเป็นมาราธอนแรกในชีวิตนั้นวันนั้น

ถ้าเป็นคุณวิ่งมาราธอนแรกได้ คุณจะทำยังไงครับ

“โพสต์ลง Facebook” สิครับ รออะไร! (ฮาลั่นกันอีกรอบ)

แล้วก็มีคนแฮ่มาแสดงความยินดีกันมากมาย แต่ก็มีคนบางคนที่เป็นห่วง เตือนเรื่องการเตรียมตัวก่อนวิ่งมาราธอน ว่ามันเป็นสิ่งสำคัญมาก พี่แท็ปก็เข้าใจแต่ก็บอกทุกคนว่า “ถ้าผมรู้ว่าต้องเตรียมตัวมากมาย ผมคงไม่มีทางได้วิ่งแน่ๆ”

แล้วจึงเล่าเรื่องของ Cliff Young นักวิ่งอายุ 61 ปี ที่ทำลายสถิติการวิ่ง Ultra Marathon ระยะ 875 กิโลเมตร (ใช่ครับไม่ได้พิมพ์ผิด แปดร้อยเจ็ดสิบห้ากิโลเมตร) เกิดมาผมพึ่งเคยรู้ว่ามีการวิ่งที่ยาวขนาดนี้ด้วย =[]=

ที่ลุงทำลายสถิติได้ เพราะ ลุงแกไม่รู้ว่าเขาให้นอนได้!! ถึงจะมีแอบงีบบ้าง 1–2 ชั่วโมง แต่ก็กลัวถูกเชิญออกจากรายการแข่ง ลุงเลยเข้าเส้นชัยเป็น ที่1 เลยจ้าาาา ชนะที่ 2 ไปครึ่งวันกว่า

“บางครั้งการที่เรารู้อะไรมากๆ ก็อาจจะเป็นสิ่งที่จำกัดตัวเราก็ได้”

และพี่แท็ปพูดถึงเรื่อง Friction & Momentom (สมแล้วที่เรียนวิศวฯ ครับพี่)

Friction & Momentum

Friction : แรงฝืดที่มักจะเกิดตอนเราเริ่มที่จะทำอะไรบางอย่าง ตอนเริ่มต้นมันจะเยอะและยากเสมอ

Momentom : ส่วนโมเมนตัมมันเป็นแรงที่จะทำให้การกระทำของเราไหลไป และจะไหลไปเรื่อย มันจะง่ายขึ้นเมื่อผ่านจุดเริ่มต้นมาได้แล้ว

มีอะไรที่คุณอยากทำแล้วยังไม่ได้ทำ? ทำไมถึงยังไม่เริ่ม? รึเปล่า ลองเอาหลักการของพี่แท็ปไปใช้ดูนะครับ

กิโลเมตรที่ 5 (อุ่นเครื่อง)

เปิดมาด้วยเรื่องของการเขียน “New Year’s Resolution” การตั้งเป้าหมายในปีถัดไป สิ่งที่คนตั้งเป้าหมาย 4 อันดับแรกนั้นก็คือ การกินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังหาย ลดน้ำหนัก และการเก็บเงิน

พี่แท็ปเล่า สถิติจากฟิตเนสว่า เดือนมกราคมคนจะเยอะทุกปี และหลังจากนั้นจะค่อยๆลดลงจนถึงเดือนเมษายนและหลังจากนั้น คนหายยาวเลยจ้าาา

คนส่วนมากที่เขียนมักจะทำตามไม่ได้ ซึ่งไม่แปลก พี่แท็ปเองก็เป็นเช่นกัน แต่สิ่งที่พี่แท็ปคิดต่อคือ “ทำไมคนเราถึงทำไม่ได้?

พี่แท็ปเปิดภาพสามเหลี่ยมพีระมิด ซึ่งเป็นพีระมิดเพื่อการตั้งเป้าหมาย

Hightlight of the day

จากยอดบนสุด Dream → Year → Month → Hightlight of the day ล่างสุด

สื่อให้เห็นว่าเราควรจะทำให้เป้าที่เป็นความฝันใหญ่ ย่อยเป็นปี ย่อยให้เล็กลงเป็นเดือนและเหลือเป็นวันให้ได้ เพื่อให้ชัดเจน ดูเข้าถึงได้ง่ายขึ้น และทำได้ง่ายขึ้น!

หา “Hightlight of the day” ของคุณให้เจอในแต่ละวัน เพื่อที่จะพิสูจน์แนวคิดนี้พี่แท็ปเลยทดลองทำ 30 days Challenge สร้าง Six-pack ก่อนจะเริ่ม Super productive show โดยได้ถ่ายทำเป็นคลิปวิดีโอมาให้พวกเราได้ดูกันตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย

โดยสิ่งที่พี่แท็ปต้องทำตลอด 30 วัน คือ ต้องเข้าฟิตเนสวันละ 2 ครั้ง กินอาหารตามที่โค้ชบอกทุกวัน และต้องนอนให้ได้วันละ 8 ชั่วโมงไม่งั้น Six-pack ไม่ขึ้น ซึ่งบางวันต้องตื่นมาวิ่งตี 3 ก่อนไปออกกำลังกาย ซึ่งพี่แท็ปสามารถทำมันได้สำเร็จ!

บทเรียนที่ได้ : เมื่อทำไปเรื่อยๆ เราจะเริ่มเห็น “หลักฐานของความพยายาม” และจะรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ทำต่อ (ตอนแรกเห็นว่าวางแผนจะไปกินบุฟเฟ่ต์หลังจบโชว์แต่ตอนนี้ก็รู้สึกเสียดายในสิ่งที่ทำพยายามมา) สิ่งที่สำคัญคือการเปลี่ยนแปลงจากข้างในตัวเรา

กิโลเมตรที่ 10 (ระยะ Productive)

เครื่องมือ 5 ชิ้นที่จะช่วยเพิ่ม Productivity คือ “SUPER”

“SUPER” Tools of Productivity

S : Start with why? หาเหตุผลของการกระทำ

ไม่ใช่แค่ถามว่า “ทำอะไร” แต่ต้องถามว่า “ทำไมถึงทำ” why ของพี่แท็ปในการสร้าง six-pack คือต้องมาขึ้นเวทีนี้ มีซื้อบัตรแล้ว เปรียบเหมือนการขึ้นหลังเสือแล้ว จะทำให้คนผิดหวังไม่ได้

U : Unhook จดจ่อไม่วอกแวก

คนเราจะดึง productivity ออกมาได้มากที่สุดในช่วง “Flow State” (ช่วงที่รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็ว) แต่ปัจจุบันมีสิ่งคอยรบกวนเราอย่าง Social Media อยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดช่วง “Not flow at all state” ซึ่งไม่ productive

Not Flow At All State

ซึ่งพี่แท็ปยังได้เปิดสถิติว่าคนไทยใช้ Social Media เฉลี่ยวันละ 5 ชั่วโมง ถ้าทำแบบนี้ไป 50 ปี คิดเป็นใช้เวลาทั้งหมด 10 ปี 5 เดือน วิธีที่พี่แท็ปแนะนำที่จะเอาเวลาของเรากลับคือมาคือ “เคลียมือถือครั้งละเยอะๆ ดีกว่าเช็คบ่อย ๆ ถี่ ๆ” หรือลบแอพไปเลยสามารถเอาเวลาของเรากลับมาได้ถึง 3 ชั่วโมงต่อวัน!

P : Prioritize จัดลำดับความสำคัญ

คนส่วนมากจะใช้เวลาไปกับเรื่องสำคัญและเร่งด่วน เหมือนเป็นนักดับเพลิง ต้องดับงานเผาที่เข้ามาในชีวิต แต่วิธีที่ดีคือการใส่ใจกับ “สิ่งที่สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน” ให้มาก เช่น การหาความรู้เพิ่มเติม การออกกำลังกาย เคลียงานล่วงหน้าก่อนที่มันจะเป็นงานที่ด่วนนั้นเอง

Prioritize

และแนะนำให้ทำ Time boxing คือการวางแผนจัดตารางเวลาล่วงหน้า โดยให้เรียงลำดับการจัดความสำคัญดังนี้

  1. วันพักผ่อน ทำก่อน! เพราะยิ่งวางแผนก่อนก็ยิ่งมีสิทธิก่อน (โดยเฉพาะพนักงานออฟฟิศ) เราควบคุมได้
  2. การพัฒนาตัวเอง
  3. งานระดมสมอง
  4. งานหลัก
  5. งานด่วน
  6. งานเบ็ดเตล็ด

E : Energize ใช้พลังงานให้ถูกเรื่อง

แต่ละคนจะมีช่วงเวลาที่เรามีประสิทธิภาพ (Prime Time) แต่ต่างกัน ประมาณ 2–3 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น ต้องลองหัดสังเกตัวเอง ของพี่แท็ปจะเป็นช่วง 3.30–5.30 น. หัวจะแล่นเป็นพิเศษ ซึ่งการใช้เวลาในช่วง Prime time เป็นสิ่งสำคัญมาก ควรใช้ไปกับสิ่งที่สำคัญจริงๆ เพื่อทำให้เกิด Productivity สิ่งที่ไม่สำคัญให้ใช้เวลาช่วงอื่นจ้า

Prime Time

R : Rest การพักผ่อนนั้นสำคัญ

การพักผ่อนที่ดีให้นึกถึงบรรพบุรุษของเราอย่าง “มนุษย์ถ้ำ” ว่าเขาทำกันยังไง?

  1. Eat : ง่ายๆ กินสิ่งที่มนุษย์ถ้ำรู้จัก! (เน้นอาหารที่ผ่านกระบวนการน้อยที่สุด)
  2. Move : ขยับบ่อย ๆ ถ้ามนุษย์ถ้ำไม่ขยับก็คือ “ตาย” หรือ “ตกเป็นเหยื่อ”
  3. Sleep : นอนในถ้ำ ทำให้ห้องมืดที่สุด เงียบที่สุด เอามือถือไว้นอกห้อง!

เพื่อให้เข้าถึงคนได้มากขึ้น จึงต้องมีแขกรับเชิญที่เป็น “พนักงานประจำ” ที่ Productive สุดๆ จะเป็นใครไปไม่ได้ นั้นก็คือ พี่ต้อง กวีวุฒิ เจ้าของเพจแปดบรรทัดครึ่ง และยังเป็น Head of SCB10X อีกด้วย

พี่ต้อง กวีวุฒิ Kaweewut Tong Temphuwapat

Tong Kaweewut

คำถามแรกของพี่ต้องคือ ใครทำงานพนักงานประจำบ้าง? และ ใครคิดว่าจะทำงานประจำที่เป็นอยู่นี้ไปตลอดบ้าง? แน่นอนว่าทั้ง 2 คำถามนี้คนเยอะมือพรึบทั้งคู่!

ไม่ชอบงานที่ทำ แต่ไม่รู้จักทำอะไรดี? ให้ลองออกตามหามัน

คนเราชอบอ้างว่าไม่มีเวลา แต่เราใช้เวลากว่า 22 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ไปกับการเล่น Social Media

พี่ต้องขอให้เราเปลี่ยนคำพูดใหม่ครับ จากไม่มีเวลากับ…. เป็น เราไม่ได้ให้ความสำคัญกับ…. แล้วลองคิดดูว่าเรารับสภาพชีวิตที่เป็นแบบนี้ได้นานแค่ไหน เป็นคำพูดที่ทำให้จุกได้เลยทีเดียว

แล้วมาดูกันว่าพี่ต้องใช้เวลายังไงที่ต้องอัด podcast ทุกวัน ทำเพจเขียน Content แถมยังเป็นอาจารย์พิเศษของจุฬาฯ อีกต่างหาก

  • ทำ Podcast 5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
  • เตรียมคอนเทนต์เพจ 1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
  • อ่านหนังสือ เตรียมเนื้อหา 3.5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
  • สอนหนังสือในมหาวิทยาลัยและองค์กร 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

รวม 12.5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เท่านั้น ยังไม่เท่ากับค่าเฉลี่ยของคนที่เล่น Social Media 22 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แล้วจะอ้างว่าไม่มีเวลากันได้อย่างไร

มีเวลาแล้วแต่จะเริ่มยังไงดี?

หลังจากนั้นพี่ต้องก็ได้พูดถึง

Strong Ties : คือกลุ่มคนที่อยู่ใกล้ตัวเรา คนกลุ่มนี้มักจะไม่ได้พาเราไปที่แปลกใหม่มากนัก

แต่

Weak Ties ต่างหาก คนที่เราไม่ได้เจอนาน เพื่อเก่า หรือเป็นคนที่เป็นไอดอลของเรา จะเป็นกลุ่มคนที่พาเราไปในที่ที่แปลกใหม่ ซึ่งทุกคนที่เราอยากคุยด้วยอยู่ห่างกันแค่เพียง 1 Email เท่านั้น

พี่ต้องได้เล่าเรื่องที่ตนเองได้ Email หาพี่แท็ป เมื่อ 4 ปีก่อน หลังจากที่ได้อ่านหนังสือ Marketing everything! ของพี่แท็ปและรู้สึกประทับใจ และอยากที่จะมีหนังสือเป็นของตนเอง เลยส่ง Email ไปหาพี่แท็ปโดยงัดทุกกลเม็ด วิธีการเพื่อที่ต้องการให้พี่แท็ปตอบ ซึ่งพี่ต้องก็ทำได้! และได้มีโอกาสนัดพูดคุยกับพี่แท็ป แน่นอนว่ามันส่งผลให้พี่ต้องได้มีโอกาสขึ้นเวที Super Productive Show ในครั้งนี้อีกด้วย

ปิดท้ายโดยการเชิญชวนให้ทุกคนลองติดต่อ Weak Ties ของทุกคนดู และเชื่อว่าทุกคนจะได้รับสิ่งดีๆ แบบผม

กิโลเมตรที่ 21 (พักครึ่งทาง)

แขกรับเชิญสุดพิเศษอีกหนึ่งคน “พี่เอ๋ นิ้วกลม”

หัวข้อ Active Rest สิ่งที่หล่อเลี้ยงจิตใจ หยุดพักเพื่อไปต่อ

Roundfinger

พี่เอ๋ นิ้วกลม เป็นเพื่อนวัยเด็กของพี่แท็ป ในสายตาของทุกคนพี่แท็ปอาจเป็นคนที่ดู Productive สูงมาก แต่ในสายตาของพี่เอ๋นั้นไม่ใช่เลย เปิดเรื่องขึ้นมาจึงได้เล่าเรื่องของพี่แท็ปในวัยเด็ก ที่เล่นซน ซ่ากันมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งพี่เอ๋ก็บอกได้เลยว่าตอนนี้พี่แท็ปเปลี่ยนไปมาก

พี่เอ๋ พูดถึงความ Productive ว่าถึงจุดนี้ทุกคนคงรู้สึกถึงความ Productive ที่พุ่งพล่านที่พี่แท็ปถ่ายถอดให้ ซึ่งถ้ามันมากเกินไป อาจจะทำให้มองทุกคนเป็นคู่แข่งไปหมด สัญญาณของการทำอะไรเกินลิมิต เช่น ป่วย ผมร่วง และได้ยกคำพูดของพี่โน๊ต อุดมขึ้นมา “เราไม่ได้ขับรถ รถมันขับเรา” ถึงจุดที่เราควรกลับมาดูตัวเอง ซึ่งมันไม่คุ้มเลยถ้ามองถึงชีวิตระยะยาวของเรา

จึงได้ให้คาถาวิเศษกับพวกเรามานั้นก็คือ

คาถา “บ้างก็ได้”

  • เราหยุดพัก “บ้างก็ได้”
  • เราขี้เกียจ “บ้างก็ได้”
  • เรากินสิ่งที่อยากกิน “บ้างก็ได้”
คาถา “บ้างก็ได้”

ผมคิดว่าพี่เอ๋ต้องการจะสื่อถึง “การเดินสายกลาง” ไม่ตึงเกินไม่หย่อนเกินกับการใช้ชีวิต ผมมองว่าพี่เอ๋พูดเรื่องนี้ได้ถูกจังหวะของโชว์นี้มาก อย่างน้อยผมก็รู้สึกเหมือนถูกเตือนสติ 555

และได้พูดอีกเรื่องหนึ่ง โดยได้เปิดภาพ

“เมล่อน”

ขึ้นมาบนหน้าจอ เป็นเมล่อนที่ปลูกในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งราคาของเมล่อนของสวนนี้สูงมาก! เพราะว่าต้นเมล่อน 1 ต้น คนดูแลจะตัดแต่งให้มีลูกเมล่อนเพียง 1 ลูก เท่านั้น

นั้นหมายถึงสารอาหารทั้งหมด จากปุ๋ยและการดูแลที่ใส่ใจ จะสะสมไปที่เมล่อนเพียงลูกเดียว! ส่งผลทำให้เมล่อนจากสวนนี้หวาน หอม และมีราคาที่สูงมาก

พี่เอ๋ ต้องการจะสื่อถึง การใส่แรงไปที่จุดเดียว “Focus”

สอนให้เราทำอะไรทำให้ดีสักอย่าง อย่าทำอะไรสะเปะสะปะ

“แรงที่ใส่ไปที่จุดเดียว นั้นมีพลังมากกว่าแรงที่กระจายมากนัก”

กิโลเมตรที่ 35 (จะหยุดวิ่งหรือจะลุยต่อ)

“Productive ไม่ใช่แค่เรื่องงานแต่เป็นเรื่องความสัมพันธ์ด้วย”

สิ่งที่คนอยากกลับไปแก้ไขหรือเสียใจ มักเป็นเรื่องของความสัมพันธ์มากกว่าเรื่องงาน

พี่แท็ปได้พูดถึงเรื่องของคุณแม่ ซึ่งเป็นผู้ที่ทำให้พี่แท็ป “เก่งภาษาอังกฤษ” ได้ คุณแม่คัดลอกแบบฝึกหัดภาษาอังกฤษจากหนังสือ เขียนใส่กระดาษให้พี่แท็ปทำทุกวัน เพราะรู้ว่าต้องทำแบบนี้พี่แท็ปถึงจะยอมทำ ซึ่งแม่ทำด้วยความรักจากใจจริง

ถึงจุดนี้พี่แท็ปเลยเริ่มเล่าถึงเรื่องครอบครัวของตนเอง พี่แท็ปเป็นคนที่ทำงานหนัก หนักจนมีวันหนึ่งลูกพี่แท็ปพูดกับพี่แท็ปว่า

“พ่อจับมือถือมากกว่ามือหนูอีก” เป็นประโยคที่ดึงอารมณ์คนได้ทั้งห้อง

พ่อจับมือถือ มากกว่ามือหนูอีก

ซึ่งหลังจากนั้นพี่แท็ปก็พยายามให้เวลากับลูก กับครอบครัวตัวเองมากขึ้นมาโดยตลอด ซึ่งทีมงานได้มีการจัดทำ VDO ของครอบครัวพี่แท็ป ซึ่งพี่แท็ปจะได้ดูพร้อมกับทุกคนไปพร้อมๆ กัน

เป็น VDO ที่ผมประทับใจมาก เป็นคลิปที่คนในครอบครัวทั้งภรรยา คุณแม่ และลูก ได้พูดถึงพี่แท็ป มีน้ำตาซึมๆเลยทีเดียว เพราะเห็นถึงความรัก แรงสนับสนุนที่ทุกคนให้กับพี่แท็ปจริงๆ ผมคิดในใจเลยว่าพี่แท็ปต้องร้องไห้แน่ๆ และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ

หลังจากนั้นภรรยาและลูกก็ได้เอาช่อดอกไม้มาเซอร์ไพรส์พี่แท็ป เชื่อว่าทุกคนที่เห็นภาพนี้จะเผลอยิ้มเหมือนกับผม :)

Productive Relationship

กิโลเมตรที่ 42.195 (ถึงเส้นชัย)

และก็มาถึงช่วงสุดท้ายของ Super Productive Show เวลาผ่านไปเร็วมาก

พี่แท็ปย้ำถึงเรื่อง

Friction & Momentom

ให้ทุกคนเริ่มกิโลเมตรที่ 1 ของตัวเอง มีอะไรที่อยากทำ จงลงมือทำมันซะ!

“การเริ่มต้นมันเหนื่อย แต่ทุกอย่างจะค่อย ๆ ง่ายขึ้น”

หลังจากจบโชว์นี้ก็มีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากทำ นั้นก็คือการเขียนสรุปสิ่งที่ได้จากโชว์นี้ ซึ่งตอนแรกจะเก็บไว้อ่านเอง (ภาพถ่ายอาจจะเบลอๆบ้าง)แต่คิดว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์กับทุกคนได้ไม่มากก็น้อย เลยถือเป็นการฝึกความ Productive ของตัวเองไปในตัว แม้ว่าจะใช้เวลาหลายวันหน่อย

แต่ก็ดีใจมากที่เขียนสรุปนี้เสร็จให้ทุกคนได้อ่าน ;)

JUMCNEXT14 at Super Productive Show

ขอบคุณ The Standard และ Dtac ที่ทำให้เกิดงานที่สุดยอดแบบนี้ขึ้นมาครับ

เขียนโดย กฤตเมธ เปรมนิยา (เอิ๊ก)

FB : Krittamate Pramniya

IG : krittamate

#SuperProductiveShow

#TheConclusion #อาสาสรุป

.— — — — — — — — — — — — —

กลุ่มอาสาสรุป : http://bit.ly/TheConclusionGroup
.
สารบัญ อาสาสรุป : http://bit.ly/SarabunTheConclusion

.

The Conclusion Podcast 🎧

📌สามารถรับฟังได้ที่
Spotify: https://bit.ly/TheConclusionSpotify
Youtube: https://bit.ly/KrittamateChannel
Google Podcast: https://bit.ly/TheConclusionGG
Apple Podcast: https://bit.ly/TheConclusionApplePodcast

--

--

Krittamate Pramniya
Krittamate Pramniya

Written by Krittamate Pramniya

The Conclusion - อาสาสรุป

Responses (2)